แหล่งเงินทุนระยะยาว
การจัดหาเงินทุนระยะยาวแบ่งออกเป็น 2
แหล่ง ได้แก่
1. แหล่งเงินทุนภายในกิจการ (Internal
Sources) คือ
เงินทุนระยะยาวที่ได้รับจากผลการดำเนินงานในรอบระยะเวลาหนึ่ง
ซึ่งจะมีจำนวนเงินทุนระยะยาวมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับความสามารถในการดำเนินงาน
แหล่งในทุนกิจการสามารถจัดหาได้จาก 3 แหล่ง คือ
1.1
กำไรสุทธิ (Net Income) เป็นแหล่งเงินทุนที่ธุรกิจได้จากผลการดำเนินงานซึ่งมีรายได้มากกว่าค่าใช้จ่ายในรอบระยะเวลาหนึ่ง
1.2
กำไรสะสม (Retained Earning) เป็นแหล่งเงินทุนที่ธุรกิจดำเนินงานและมีกำไรสุทธิเกิดขึ้นในแต่ละงวดบัญชี
ส่วนหนึ่งของกำไรสุทธินั้นต้องจัดสรรแบ่งคืนให้ผู้ถือหุ้นในรูปของเงินปันผล
ที่เหลือนอกนั้นจะอยู่ในบัญชีกำไรสะสมของกิจการเพื่อกิจการได้ใช้ในการลงทุนต่อหรือขยายงาน
1.3
ค่าเสื่อมราคา (Depreciation) เป็นแหล่งเงินทุนระยะยาวของธุรกิจที่เกิดจากการลงทุนในสินทรัพย์ถาวร
และตัดจำหน่ายเงินลงทุนในแต่ละงวด
เพื่อให้สอดคล้องกับการใช้งานและรายได้ที่เกิดจากการใช้สินทรัพย์ถาวรนั้นๆ
ค่าเสื่อมราคาถือเป็นค่าใช้จ่ายที่ไม่ได้เป็นเงินสด และนำไปหักออกจากภาษีเงินได้
ถือเป็นแหล่งเงินทุนที่ไม่มีต้นทุนของเงินทุน
2. แหล่งเงินทุนภายนอกกิจการ (External
Sources) เป็นแหล่งเงินทุนที่ได้จากการก่อหนี้ระยะยาวหรือการออกหลักทรัพย์ระยะยาวจำหน่ายให้กับผู้ลงทุน
หรือผู้ที่สนใจโดยทั่วไปในตลาดทุน แหล่งเงินทุนภายนอกกิจการ สามารถจัดหาได้ 4
วิธี
2.1
เงินกู้ยืมระยะยาว (Long Term Debt) เป็นการกู้ยืมเงินจากสถาบันการเงิน
เช่น ธนาคารพาณิชย์ สถาบันการเงินเฉพาะกิจ การกู้เงินระยะยาวมักจะออกมาในรูปของการกู้โดยมีโครงการลงทุนมาเสนอต่อธนาคารพาณิชย์ซึ่งในโครงการลงทุน
จะระบุรายละเอียดต่างๆ พร้อมกับจำนวนเงินที่ต้องการและระยะเวลาในการชำระหนี้
2.2 หุ้นสามัญ
(Common Stock) การออกหุ้นสามัญเป็นการจัดหาเงินทุนระยะยาวที่สำคัญแบบไม่มีกำหนดระยะเวลาการชำระคืน
ผู้บริหารสามารถนำเงินทุนที่ได้นี้ไปใช้ในการดำเงินงานอย่างมีประสิทธิภาพ
และมีความคล่องตัวเพราะไม่ต้องรอระยะเวลาไถ่ถอน
นอกจากนั้นหุ้นสามัญยังถือเป็นหลักทรัพย์แสดงความเป็นเจ้าของธุรกิจอีกด้วย
หุ้นสามัญมีลักษณะสำคัญ 4 ประการ คือ
2.2.1
สิทธิการเรียกร้องในรายได้ของบริษัท
เพราะผู้ถือหุ้นมีฐานะเป็นเจ้าของบริษัทดังนั้นผู้ถือหุ้นสามัญมีสิทธิในการเรียกร้องในรายได้ของบริษัทต่อจากเจ้าหน้าหนี้และผู้ถือหุ้นบุริมสิทธิรายได้ดังกล่าวจ่ายให้แก่ผู้ถือหุ้นสามัญโดยตรงในรูปของเงินปันผลหรือกำไรสะสม
2.2.2
สิทธิการเรียกร้องในทรัพย์สิน
เมื่อมีการเลิกกิจการสิทธิของผู้ถือหุ้นสามัญจะเกิดขึ้นต่อจากเจ้าหนี้และผู้ถือหุ้นบุริมสิทธิได้รับการชำระแล้ว
แต่ถ้าเกิดการล้มละลายของบริษัท
ผู้ถือหุ้นสามัญจะไม่มีสิทธิในการเรียกร้องในทรัพย์สินของบริษัทแต่อย่างใด
2.2.3
สิทธิในการออกเสียง
ผู้ถือหุ้นสามัญมีสิทธิในการเลือกคณะกรรมการบริหารบริษัท
และยังมีสิทธิในการพิจารณาเปลี่ยนกฎ ระเบียบต่างๆ ของบริษัทอีกด้วย
2.2.4
จำกัดความรับผิดชอบ เมื่อเกิดการล้มละลายของบริษัท
ผู้ถือหุ้นสามัญจะรับผิดชอบเพียงเท่ากับเงินที่ลงทุนในบริษัทเท่านั้น
2.3 หุ้นบุริมสิทธิ
(Preferred Stock) หุ้นบุริมสิทธิมีลักษณะกึ่งหนี้สินและกึ่งเจ้าของ
ลักษณะที่คล้ายหนี้สินคือ เงินปันผลของหุ้นบุริมสิทธิซึ่งจะเป็นอัตราที่ตายตัว
และถือเป็นค่าใช้จ่ายคงที่ของบริษัท อย่างไรก็ตามในการจัดหาเงินทุนโดยการออกหุ้นบุริมสิทธิก็มีการกำหนดสิทธิของหุ้นบุริมสิทธิเป็นพิเศษอีกดังนี้
2.3.1 สิทธิในการออกเสียง
(Voting Right) โดยปกติแล้วผู้ถือหุ้นบุริมสิทธิจะไม่มีสิทธิ์ในการออกเสียงเพื่อเลือกผู้บริหารของบริษัท
ทั้งนี้เพราะผู้ถือหุ้นบุริมสิทธิมีสิทธิ์ในสินทรัพย์หรือรายได้ของธุรกิจก่อนผู้ถือหุ้นสามัญเว้นแต่ในกรณีที่บริษัทได้กระทำอย่างใดอย่างหนึ่งที่ถือเป็นการผิดสัญญาซึ่งมีผลกระทบกระเทือนต่อสินทรัพย์หรือรายได้ของผู้ถือหุ้น
2.3.2
สิทธิในการแปลงสภาพ (Convertibility) เมื่อธุรกิจมีกำไรผู้ถือหุ้นบุริมสิทธิจะได้รับผลตอบแทนในรูปของเงินปันผลในอัตราที่คงที่ตายตัว
เพื่อเป็นการดึงดูดความสนใจในการลงทุนของผู้ถือหุ้นประเภทที่จะสามารถได้รับผลตอบแทนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
จากธุรกิจที่ทำกำไรได้สูงขึ้นเรื่อยๆด้วย ก็จะมีการกำหนดสิทธิในการแปลงสภาพเป็นหุ้นสามัญได้
ซึ่งเรียกหุ้นนี้ว่า "หุ้นบุริมสิทธิชนิดแปลงสภาพ" (Convertible
Preferred Stock)
2.3.3
สิทธิในการเรียกหุ้นคืน (Call Provision) ลักษณะเหมือนหุ้นกู้
คือ ธุรกิจอาจมีสิทธิเรียกคืนหุ้นได้โดยมีการกำหนดราคาเรียกหุ้นคืนไว้ซึ่งเป็นราคาที่สูงกว่าราคามูลค่าส่วนที่สูงกว่านี้คือ
เงินชดเชย (Premium)
2.3.4
สิทธิอื่นๆ (Others) สิทธิของหุ้นบุริมสิทธิอื่นๆ
เช่น อนุญาตในการออกเสียงในกรณีที่บริษัทไม่ยอมจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นบุริมสิทธิ
ประเภทของหุ้นบุริมสิทธิ
1. หุ้นบุริมสิทธิชนิดสะสม
(Cumulative Preferred Stock) คือ
หุ้นบุริมสิทธิชนิดที่ผู้ถือหุ้นมีสิทธิ์ได้รับเงินปันผลในปีที่ไม่ได้ประกาศจ่ายเงินปันผล
2. หุ้นบุริมสิทธิชนิดร่วมรับ
(Participating Preferred Stock) คือ หุ้นบุริมสิทธิที่ผู้ถือหุ้นมีสิทธิได้รับเงินปันผลร่วมกับผู้ถือหุ้นสามัญอีก
หลังจากที่ได้รับเงินปันผลในอัตราที่กำหนดแล้ว
3. หุ้นบุริมสิทธิชนิดไม่ร่วมรับ
(Non – Participating Preferred Stock) คือ
หุ้นบุริมสิทธิที่ได้รับเงินปันผลตามอัตราที่กำหนดเท่านั้น
2.4 หุ้นกู้ (Debenture)
ตามความหมายโดยทั่วไปเป็นตราสารทางการเงิน เพื่อการกู้ยืมเงินระยะยาว
โดยระดมเงินทุนจากผู้ลงทุน เงินที่ชำระค่าหุ้น ถือเป็นเงินที่กิจการกู้ยืม
ผู้ให้กู้จะได้รับผลตอบแทนในรูปของอัตราดอกเบี้ย ตามระยะเวลาและอัตราที่กำหนด หุ้นกู้จะมีลักษณะและเงื่อนไขที่สำคัญบางประการดังนี้
2.4.1 สิทธิการเรียกร้องในทรัพย์สินและรายได้
หุ้นกู้มีสิทธิเรียกร้องในรายได้ก่อนหุ้นบุริมสิทธิและหุ้นสามัญ
2.4.2 ราคาที่ตราไว้
คือ
มูลค่าตามหน้าตั๋วซึ่งจะชำระคืนให้ผู้ถือหุ้นกู้เมื่อหุ้นกู้นั้นครบกำหนดตามระยะเวลาในการไถ่ถอน
โดยทั่วไปหุ้นกู้ในประเทศไทยจะต้องมีราคาที่ตราไว้ไม่ต่ำกว่าหุ้นละ 100 บาท
2.4.3 อัตราดอกเบี้ย
อัตราดอกเบี้ยที่ระบุไว้บนใบหุ้นกู้นี้ แสดงเป็นร้อยละของราคาที่ตราไว้ของหุ้นกู้
ซึ่งจะจ่ายในแต่ละปีในรูปอัตราดอกเบี้ย
2.4.4 กำหนดระยะเวลาไถ่ถอน
2.4.5 คู่สัญญา คือ
สัญญาระหว่างบริษัทที่ออกหุ้นกู้และผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้คู่สัญญานี้จะระบุเงื่อนไขของหนี้สินหรือรายละเอียดของหุ้นกู้
สิทธิของผู้ถือหุ้น สิทธิของบริษัทออกหุ้นกู้
และความรับผิดชอบของผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้
2.4.6 อัตราผลตอบแทนปัจจุบัน
หมายถึง อัตราส่วนดอกเบี้ยจ่ายแต่ละปีต่อราคาตลาดหุ้น
โดยทั่วไปหุ้นกู้แบ่งออกได้เป็นประเภทต่างๆดังนี้
1. พันธบัตร (Bond) เป็นสัญญาที่ออกโดยผู้ขอกู้ยืม
โดยจะมีสัญญาข้อผูกมัดที่ว่า ผู้ออกพันธบัตร (หรือผู้ขอกู้ยืม) จะต้องจ่ายผลตอบแทน
(ดอกเบี้ย) ให้กับผู้ถือพันธบัตร (ผู้ให้กู้)
ตามอัตราและระยะเวลาที่กำหนดไว้ในพันธบัตร พันธบัตรที่สำคัญ แบ่งเป็น 2 ลักษณะคือ
พันธบัตรรัฐบาลและพันธบัตรธุรกิจ พันธบัตรธุรกิจมีสินทรัพย์เป็นหลักประกัน
2. หุ้นกู้ (Debenture)
หุ้นกู้มีลักษณะเช่นเดียวกับพันธบัตรแตกต่างเฉพาะหลักประกัน เพราะหุ้นกู้ไม่มีสินทรัพย์เป็นหลักประกัน
3. หุ้นกู้ด้อยสิทธิ์
(Subordinate Debenture) คือ หุ้นกู้ที่มีสิทธิในการได้รับชำระหนี้คืนเป็นอันดับรองจากหุ้นกู้
4. พันธบัตรจำนอง
(Mortgage Bond) คือ
หลักทรัพย์ที่มีสินทรัพย์เฉพาะอย่างตามที่ได้ระบุไว้ในสัญญาการกู้ยืมเป็นหลักประกัน
ซึ่งสินทรัพย์ที่ใช้เป็นหลักประกันจะประกอบด้วยสินทรัพย์ถาวรเป็นสำคัญ
5. พันธบัตรหลักทรัพย์จำนำ
(Collateral Trust
Bond) คือ
พันธบัตรประเภทที่มีหุ้นหรือพันธบัตรเป็นหลักค้ำประกัน
ซึ่งหลักทรัพย์ที่มาค้ำประกันมักเป็นหลักทรัพย์ของบริษัทอื่นที่บริษัทผู้ออกพันธบัตรเป็นผู้ลงทุนไว้
6. พันธบัตรรายได้
(Income Bond) คือ พันธบัตรประเภทที่บริษัทจะจ่ายดอกเบี้ยเฉพาะเมื่อบริษัทมีกำไรเท่านั้น
7. พันธบัตรแปลงสภาพได้
(Convertible Bond)
คือ พันธบัตรที่มีสิทธิแปลงสภาพเป็นหุ้นสามัญได้ตามอัตราที่กำหนด
8. พันธบัตรชนิดเรียกคืนได้
(Collable Bond) คือ
พันธบัตรประเภทที่ให้สิทธิแก่บริษัทผู้ออกพันธบัตร สามารถเรียกคืนก่อนวันครบกำหนดไถ่ถอนได้
วิธีการจำหน่ายหุ้นให้กับประชาชน
1. การจำหน่ายโดยธุรกิจผู้ออกหลักทรัพย์
(Private Placement) วิธีนี้บริษัทผู้ออกหลักทรัพย์เป็นผู้จำหน่ายเอง
2. การจำหน่ายโดยผ่านตัวแทนขายหลักทรัพย์
(Public Offering) วิธีนี้บริษัทผู้ออกหลักทรัพย์จะจำหน่ายหลักทรัพย์ผ่านตัวแทนหรือนายหน้า
ซึ่งสามารถทำได้ 2 วิธี คือ
2.1
วิธีประมูล (Competitive Bidding) วิธีนี้ธุรกิจผู้ออกหลักทรัพย์จะประกาศให้ผู้ต้องการรับหลักทรัพย์ไปจำหน่ายมาประกวดราคา
โดยธุรกิจผู้ออกหลักทรัพย์จะคัดเลือกผู้เสนอราคาประมูลสูงสุดเท่านั้นเป็นตัวแทนจำหน่ายหลักทรัพย์
2.2
วิธีเจรจาต่อรอง (Negotiated Offering) วิธีนี้ธุรกิจผู้ออกหลักทรัพย์จะคัดเลือกธนาคารพาณิชย์มาเป็นตัวแทนจำหน่ายหลักทรัพย์เอง
ฉันมาที่นี่เพื่อแบ่งปันโอกาสในการเปลี่ยนแปลงชีวิตที่น่าทึ่งกับพวกคุณทุกคน แพลตฟอร์มการซื้อขายของ Jose เป็นแพลตฟอร์มการลงทุนที่ลงทะเบียนและของแท้ ซึ่งสามารถสร้างรายได้ให้คุณมากถึง 7,570 ยูโรในหนึ่งสัปดาห์จากการลงทุนเริ่มต้นเพียง 700 ยูโร ฉันกำลังพิสูจน์ให้เห็นถึงโอกาสการลงทุนที่ยอดเยี่ยมนี้ สนใจลงทุนและอยากมีรายได้ประจำสัปดาห์? ติดต่อ Jose ผ่าน whats-app: +12012937434 หรืออีเมล: Josegonzales87958@gmail.com เพื่อเริ่มต้น...
ตอบลบฉันต้องการขอบคุณคุณเวสต์วูด จาก apexloans ที่ให้เงินกู้ไม่มีหลักประกันมูลค่า 63,000 ยูโรเป็นเวลา 4 ปีแก่ฉัน หากคุณต้องการเงินกู้ที่ถูกต้องตามกฎหมายเร่งด่วนวันนี้ สมัครทางอีเมล: apexloans247@yahoo.com
ตอบลบ